ส่องพฤติกรรมของคนไทย
พร้อมแค่ไหนเรื่องการจัดการเงิน

อย่ารอเก็บเงินออมหลังจากใช้จ่าย แต่จงใช้จ่ายด้วยเงินที่เหลือจาก “การออม”

กฎง่ายๆ สำหรับ การออม ให้มีประสิทธิภาพโดยสุดยอดนักลงทุนแบบคุณค่า (Value Investor) สายอนุรักษ์นิยม “วอร์เรน บัฟเฟต์” ที่นอกจากจะดังระดับโลกแล้ว ก็ยังเป็นคนที่มั่งคั่งเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอีกด้วย นั่นเพราะการเป็นคน “ใช้เงินเป็น” ย่อมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเองได้เป็นอย่างดี

ยิ่งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกมีสภาพขรุขระกระท่อนกระแท่นไม่ต่างกับพื้นผิวดวงจันทร์ ส่งผลให้กระเป๋าสตางค์แบนแห้งเป็นหมูแดดเดียวแล้ว การยึดหลัก ‘อย่าใช้ก่อนเก็บ แต่ให้เก็บก่อนใช้’ จึงเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตที่ทุกคนควรยึดถือ เพื่อเป็นหลักประกันทางการเงินสำหรับยามฉุกเฉินและจำเป็นได้อย่างดี

ในสภาพทางเศรษฐกิจปัจจุบันที่ไม่ราบรื่นทั่วทั้งโลกแบบนี้ เรามาดูกันดีกว่าว่าคนไทยมีพฤติกรรมการออมและการจัดการเงินอย่างไร

Elder holding hands and stick SansiriBlog 1

คนไทยพร้อมไหม เมื่อก้าวสู่วัยเกษียณ

จากผลสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าสัดส่วนของคนไทยที่คิดออมเงินเพื่อเกษียณอายุนั้นยังคงมีจำนวนน้อยอยู่ แม้ว่าจากจำนวนประชากรทั้งหมดจะมีคนที่ออมถึงร้อยละ 77.4 แต่นั่นก็แบ่งเป็นการออมระยะสั้นร้อยละ 47.4 และเป็นการออมระยะยาวร้อยละ 52.6 ซึ่งมีทั้งออมเพื่อซื้อบ้าน เพื่อการศึกษาบุตร และรวมถึงการออมเพื่อชีวิตหลังเกษียณ ดังนั้นจึงถือว่ามีสัดส่วนการออมเพื่อเกษียณอายุที่น้อยพอสมควร

แม้จะมีข่าวดีที่ผลสำรวจชี้ว่าคนไทยมีพฤติกรรมการออมที่สูงขึ้นกว่าอดีต แต่ข่าวร้ายคือ รู้หรือไม่ว่ามีเพียงร้อยละ 25 เท่านั้นที่วางแผนการออมเพื่อการเกษียณและทำได้สำเร็จตามแผนที่วางไว้ ที่เหลือคือ ร้อยละ 34.3 มีการออมเพื่อใช้ในยามเกษียณแต่ทำไม่สำเร็จตามแผน ร้อยละ 21 ได้แต่วาดภาพฝันว่าจะทำแต่ไม่ได้ลงมือทำ และที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือคนอีกร้อยละ 19.7 ไม่ได้เตรียมการใดๆ เพื่อเกษียณอายุเลย หรือพูดเป็นตัวเลขให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือจากคน 100 คน จะมีเพียง 25 คนที่เกษียณอายุได้ตามแผน ส่วนอีก 75 คนจะเกษียณอายุไม่ได้ ถือเป็นจำนวนที่น่ากังวลมากจริงๆ

โรคภัยไข้เจ็บ ศัตรูตัวร้ายของเงินออม

สิ่งที่คนไทยกังวลเป็นอันดับต้นๆ คือ ปัญหาด้านสุขภาพ เพราะเป็นเหมือนการโจรกรรมเงินออมกันซึ่งๆ หน้า (แต่จะไม่ให้ก็ไม่ได้ซะด้วย) จากการสำรวจพบว่าคนไทยกว่าร้อยละ 57 กังวลเรื่องปัญหาสุขภาพ และอีกร้อยละ 42 กังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการเดินทาง แต่ถึงแม้คนไทยจะกังวลกับความเสี่ยงปัญหาด้านสุขภาพ แต่กว่าร้อยละ 74 ของกลุ่มสำรวจกลับไม่คิดว่าการทำประกันสุขภาพเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน และไม่สนใจทำประกันสุขภาพ มีเพียงร้อยละ 24 เท่านั้นที่มีการซื้อประกันสุขภาพแล้ว

เหตุผลที่หลายคนยังไม่ตัดสินใจทำประกันสุขภาพ นั่นก็เพราะพนักงานประจำหลายท่านมองว่าตัวเองยังมีสวัสดิการประกันกลุ่มจากบริษัท ส่วนประกันสุขภาพเอาไว้ซื้อตอนใกล้เกษียณก็ได้ ซื้อตอนนี้ก็เป็นภาระเปล่าๆ แต่แท้จริงแล้ว คนไทยหลายคนอาจไม่รู้ (หรือรู้แต่มองข้าม) ว่าการจะซื้อประกันสุขภาพ นอกจากจะต้องใช้เงินซื้อแล้ว ยังต้องใช้สุขภาพที่ดีซื้อด้วย หากเราสุขภาพไม่ดีหรือมีโรคประจำตัวไปแล้ว ก็อาจซื้อประกันสุขภาพไม่ผ่าน แล้วอะไรจะรับประกันได้ว่าร่างกายของเราในช่วงใกล้เกษียณจะยังคงฟิตและเฟิร์ม จริงไหม

กลายเป็นยิ่งเพิ่มภาระที่จะต้องเตรียมเงินอีกก้อนสำหรับดูแลสุขภาพของตัวเอง

การออม-Debt management SansiriBlog

เปิดบัญชี ดูยอดหนี้คนไทย

เมื่อสิ้นปี 2558 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่าหนี้ครัวเรือนของไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) นั้นสูงถึง 81.1% เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15% ซึ่งสวนทางกับสัดส่วนเงินออมต่อรายได้ที่ลดลงต่อเนื่องในระยะ 20 ปี

ในปี 2558 การออมเงินภาคครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) อยู่ที่เพียง 5% แม้จะมีจำนวนคนมีเงินออมร้อยละ 77.4 แต่จำนวนเงินออมสุทธิเฉลี่ยต่อคนอยู่แค่ 9,561 บาทต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมาก และถ้ายังคงเป็นแบบนี้ ความฝันที่จะสามารถเกษียณอายุได้อย่างมั่งคั่งก็คงจะไม่มีทางเกิดขึ้นจริงกับคนไทยส่วนใหญ่ และนี่จะเป็นปัญหาระดับชาติ เพราะสวัสดิการรัฐจะไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายยามเกษียณแน่นอน

คงเห็นภาพชัดเจนแล้วว่าสังคมไทยมีภูมิคุ้มกันทางการเงินที่ต่ำมากจนน่าตกใจ ดังนั้นหากจะรีบหาทางป้องกันตั้งแต่ตอนนี้ ก็ต้องฉีดวัคซีนแห่งการตระหนักและรับผิดชอบการเงินอย่างจริงจัง อย่างการเพิ่มรายได้ เพิ่มระดับการออม และลดค่าใช้จ่ายที่จะก่อหนี้ และในขณะเดียวกันภาครัฐก็ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รอบคอบ ไม่บั่นทอนวินัยทางการเงิน การคลัง และสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนลดการก่อหนี้ เพื่อเป็นการฉีดวัคซีนทางการเงินอีกเข็มให้ประชาชน

สนับสนุนข้อมูล Living Guides โดย: ธนาคารไทยพาณิชย์

Related Articles

มาตราการอสังหา 2567

วางแผนซื้อบ้านต้องรู้! มาตรการอสังหาฯ ปี 2567 ช่วยยังไงบ้าง?

สานฝันคนอยากมีบ้านกับมาตรการอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐ ปี 2567  ที่ออกมาเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง วันนี้ เราจะมาพูดถึงมาตรการที่น่าสนใจสำหรับคนที่กำลังจะวางแผนซื้อบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าโอนและจดจำนองที่อยู่อาศัย ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมจากการปลูกสร้างบ้าน (ล้านละหมื่น) หรือสินเชื่อบ้าน โดย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งรายละเอียดแต่ละมาตรการจะเป็นอย่างไร มาดูไปพร้อมกันเลยค่ะ เริ่มจาก “มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย ปี 2567”

ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน 2566

อัพเดตล่าสุด! ซื้อบ้าน ปี 2567 ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?

เก็บเงินมาได้สักพัก ถึงเวลาทำความฝัน “ซื้อบ้าน-คอนโด” ของตัวเองสักหลังให้เป็นความจริงสักที แต่ๆๆ ก่อนจะไปลุยคว้ามา ต้องมาเช็กความพร้อมเรื่องค่าใช้จ่ายใดๆ ที่เราต้องเตรียมการกันก่อน วันนี้เรามาอัพเดทกันดีกว่า ในปี 2567 นี้ ต้องเตรียมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และที่สำคัญภาครัฐฯ มีมาตรการช่วยคนซื้ออสังหาริมทรัพย์อะไรหรือไม่อย่างไร พร้อมแล้วไปอัพเดทกันเลย! ค่าจองและทำสัญญา เป็นค่าใช้จ่ายก้อนแรกสำหรับวางมัดจำ ขึ้นอยู่แต่ละโครงการ ส่วนใหญ่บ้านจะแพงกว่าหลักหมื่นขึ้นไป

วางแผนยื่นภาษี ฉบับคนมีคู่...สมรส

วางแผนยื่นภาษี ฉบับคนมีคู่…สมรส

สมัยก่อนอยู่ตัวคนเดียว ทำอะไรคนเดียว ยื่นภาษีก็ทำได้เพียงแบบเดียว แต่ครั้นพอแต่งงานแล้ว มีคนอีกคนเข้ามาเป็นคู่ชีวิต มาแชร์สิ่งต่างๆ ในทุกๆ วัน ซื้อบ้านหลังอบอุ่นด้วยกัน แม้แต่การยื่นภาษีก็มีทางเลือกมากขึ้นด้วยเช่นกัน เดือนแห่งความรักเวียนมาถึงทั้งที แสนสิริเอาใจคนมีคู่(สมรส) ด้วยเรื่องราวที่คู่สมรสทุกคู่จะไม่รู้ไม่ได้! นั่นก็คือการยื่นภาษีในวันที่มีใครอีกคนหนึ่งก้าวเข้ามาเป็นอีกครึ่งชีวิตของคุณแล้วนั่นเอง ยิ่งในช่วงมกราคม – มีนาคมแบบนี้ ยังเป็นช่วงการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีด้วยเช่นกัน ว่าแต่จะ “ยื่นแยกกัน”